Select two species for a detailed comparison.
ต้นโอ๊กแดงขึ้นตามธรรมชาติและแทบจะมีแต่ในอเมริกาเหนือเท่านั้นแม้ว่าจะมีการปลูกในที่อื่นด้วย ไม้เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ทางภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกาในป่าไม้เนื้อแข็งแบบผสม ต้นโอ๊กแดงเป็นต้นไม้ที่สูงมาก ต้นโอ๊กแดงมีสายพันธุ์ย่อยมากมาย ทั้งหมดจัดอยู่ในหมวดหมู่ไม้โอ๊กแดง ซึ่งขึ้นทางตอนเหนือจรดทางตอนใต้ บางสายพันธุ์ขึ้นบนภูเขาสูง บางสายพันธุ์ขึ้นในพื้นที่ราบ ซึ่งได้ทำให้เกิดลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้น ต้นโอ๊กแดงมีความหลากหลายที่สำคัญขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างต้นโอ๊กแดงทางตอนเหนือที่โตช้ากว่าและต้นโอ๊กแดงทางตอนใต้ที่โตเร็วกว่า ต้นโอ๊กแดงได้รับการพิจารณาให้เป็นต้นไม้ที่มีความยั่งยืนสูงไม่ว่าจะใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศหรือการส่งออก และเนื่องจากเป็นกลุ่มสายพันธุ์ไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จึงทำให้มีความแพร่หลายมากกว่าต้นโอ๊กขาว
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของไม้โอ๊กแดงในสหรัฐอเมริกา มีจำนวน 2.62 พันล้าน ม3 คิดเป็น 18% จากปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ต้นโอ๊กแดงในสหรัฐอเมริกาโตขึ้น 60.6 ล้าน ม3/ต่อปี ขณะที่การเก็บเกี่ยวเป็นจำนวน 31.9 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 28.7 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี ไม้โอ๊กแดงในสหรัฐอเมริกา โตกว่าหรือเท่ากับการเก็บเกี่ยวในทุกมลรัฐยกเว้นมลรัฐเท็กซัส
ไม้โอ๊กแดงจากสหรัฐอเมริกาหาได้ง่ายในลักษณะไม้เลื่อยแปรรูปและแผ่นไม้อัด โดยมีหลายขนาดและหลายเกรด ไม้แปรรูปอย่างหนา (10/4" และ 12/4") มีปริมาณค่อนข้างน้อยจากผู้ขายเฉพาะ แต่มีมากในอุตสาหกรรมไม้เนื้อแข็งซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 4/4" (25.4 มม.) ถึง 8/4" (52 มม.) ในทางตอนเหนือ พบกระพี้น้อยกว่าเนื่องจากฤดูเพาะปลูกสั้นกว่าทางตอนใต้ซึ่งต้นไม้จะโตเร็วกว่า และมีลายเนื้อไม้กับพื้นผิวที่หลากหลายกว่า ไม้โอ๊กแดงจะมีการขายตามสายพันธุ์ ‘ทางตอนเหนือ’ และ ‘ทางตอนใต้' แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นการมองข้ามความแตกต่างของไม้โอ๊กแดงในแต่ละพื้นที่
ไม้โอ๊กแดงอเมริกันมีคุณสมบัติด้านความแข็งแรงโดยรวมหลายอย่างเมื่อเทียบกับน้ำหนัก ไม้โอ๊กแดงเป็นไม้เนื้อแข็งและมีน้ำหนักมาก ประกอบกับความคงทนต่อการโค้งงอในระดับปานกลาง มีความแข็งและความทนต่อแรงบีบอัดได้สูง สามารถดัดด้วยไอน้ำได้ดีเยี่ยม เมื่อไม้แห้งจะมีลักษณะแข็งและคงสภาพ เคลือบ และย้อมสีได้ง่าย นิยมใช้ทำเครื่องเรือนและการทำพื้น
To find out more about the mechanical properties of red oak read the full structural guide.
ไม้โอ๊กแดงแปรรูปใช้กับเครื่องจักรได้ดี พร้อมกับสมรรถนะในการขันสกรูและตอกตะปูได้ดี แต่ต้องมีการเจาะนำร่องก่อน ไม้แผ่นแปรรูปโอ๊กแดงใช้งานกับกาวได้ดี สามารถย้อมสี และขัดเงาให้เนื้อไม้ออกมาเงางามได้ รูพรุนในเนื้อไม้โอ๊กแดงทำให้ดูดซึมสารต่าง ๆ ได้ดี เมื่อไม้แห้งสนิทจะค่อย ๆ ลดการสึกกร่อนลงที่ละน้อย แต่จะหดตัวลงมาก และอาจไวต่อการเคลื่อนไหวในสมรรถนะในสภาพอากาศชื้น แก่นไม้โอ๊กแดงทนต่อการผุพังเล็กน้อย สามารถใช้สารกันเสียเพื่อชะลอการผุพังได้ในระดับปานกลาง สิ่งนี้ทำให้ต้นโอ๊กแดงเหมาะสำหรับการดัดแปลงผ่านกระบวนการความร้อน
กลุ่มสายพันธุ์ที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืนภายในป่าธรรมชาติของอเมริกาเหนือกลุ่มนี้และเป็นกลุ่มที่มีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เป็นสายพันธุ์หลักในตลาดส่งออก การใช้งานหลักคือ ใช้ทำเครื่องเรือน พื้น ประตู ไม้กรอบประตูหน้าต่าง การหล่อและตู้ครัวเป็นหลัก อีกทั้งยังใช้สำหรับการก่อสร้างในบางงาน
ต้นอัลเดอร์อเมริกันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ในทางตะวันตกเฉียงเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกภายใต้การจัดการอย่างยั่งยืน ต้นอัลเดอร์มีวัฏจักรที่เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวน้อยกว่าไม้เนื้อแข็งพันธุ์อื่น ๆ
ต้นอัลเดอร์จะกลายเป็นสีเกือบขาวตอนที่ตัดใหม่ ๆ และเมื่อโดนอากาศจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอ่อนผสมเหลืองหรือมีสีแดงปนเล็กน้อย ซึ่งจะไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างกระพี้และแก่นไม้ ถึงแม้ว่าแก่นไม้จะสร้างขึ้นตอนที่ต้นโตเต็มที่แล้วเท่านั้นก็ตาม ไม้อัลเดอร์เป็นลายเนื้อไม้ที่ตรงตามเกณฑ์ มีลักษณะเหมือนไม้เชอร์รีที่มีพื้นผิวเหมือนกัน
ไม้อัลเดอร์มีความหนาแน่นปานกลาง แต่ก็บอบบางกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ มีคุณสมบัติในการดัด การทนแรงกระแทก และความแข็งที่ต่ำ สามารถหมุนได้ง่ายและสามารถขัดกับย้อมสีเพื่อให้กลายเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมได้
ต้นแอชอเมริกันโดยปกติโตที่ภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา รวมอยู่ในป่าเดียวกันกับป่าไม้เนื้อแข็ง ซึ่งกินพื้นที่จากรัฐนิวยอร์กจนไปถึงรัฐทางใต้ ไล่ยาวตามแนวอ่าวเม็กซิโก ต้นโตในบริเวณภูเขาและหาได้ยากในที่เรียบกับชายฝั่ง ทำให้มีลักษณะพันธุ์ที่หลากหลาย ด้วยการแพร่กระจายที่มากขนาดนี้ในเส้นละติจูด ภูมิอากาศ และ สภาพดิน ทำให้ต้นแอชมีความหลากหลายตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในตอนเหนือจะโตช้ากว่าและในตอนใต้จะโตเร็วกว่า มีสายพันธุ์ย่อยเพิ่มเข้ามาด้วย แม้ว่าจะมีอุปสรรคระยะยาวจากแมลงและโรคในป่าส่งผลต่อต้นแอช แต่ต้นแอชก็ยังเป็นสายพันธุ์ที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก
ข้อมูลการวิเคราะห์และสำรวจทรัพยากรป่าไม้ (FIA) แสดงให้เห็นว่าต้นแอชในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนถึง 671 ล้าน ม3 คิดเป็น 5.1% ของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นแอชอเมริกันโต 12.1 ล้าน ม3/ต่อปี ขณะที่ทำการตัดได้ 6.1 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการตัด) เพิ่มขึ้น 6.0 ล้าน ม3/ต่อปี ทรัพยากรปี 2014 แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของต้นแอชนั้นมากกว่าจำนวนที่ตัดในทุก ๆ รัฐใหญ่ ยกเว้น มิชิแกน และ โอไฮโอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของแมลงเจาะสีมรกตที่เติบโตโดยต้นแอช (EAB) คาดว่าอัตราการตายและการถอนของต้นแอชจะเพิ่มขึ้นในเร็ววันจากการแพร่ระบาดของ EAB เหมือนกับการเติบโตที่มากเกินไปในบางรัฐ
ไม้แอชมีคุณสมบัติของความแข็งแรงโดยรวมดีเมื่อเทียบกับน้ำหนัก มีการทนแรงกระแทกที่ดี สามารถรับแรงจากการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์กีฬา เช่น ไม้เบสบอลได้ ไม้แอชโค้งงอได้ดีมาก ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ผลิตเครื่องเรือนและผู้ที่ชอบทำเป็นงานอดิเรก ไม้แอชเหมาะสำหรับเครื่องเรือนและพื้นเพราะเเข็งมาก มีความคงทนเมื่อเเห้งเเละง่ายต่อขัดเงาเเละย้อมสี
To find out more about the mechanical properties of ash read the full structural guide.
งานไม้แอชแปรรูปอย่างดีจะมีสมรรถนะที่ดีสำหรับการตอกตะปู การขันสกรูติดกาว และสามารถย้อมสีและขัดให้งานไม้ออกมาดีมากได้ ไม้แอชย้อมสีดำมีการใช้งานในวงการแฟชั่นเครื่องเรือนอย่างหลากหลายเเละประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม้จะเเห้งได้ง่ายมากเเละสึกกร่อนได้น้อยมาก เนื่องด้วยมีความคงทนที่ดีมาก ทำให้มีการเคลื่อนไหวในสมรรถนะไม่มากนัก ไม้อัดที่ทำจากไม้แอชทำเป็นแผ่นออกมาได้ดีต่อวัสดุประเภทบอร์ด แก่นของไม้แอชผุพังได้ง่ายเเละเเก่นไม้มีความทนต่อการรักษาเนื้อไม้ในระดับปานกลาง แต่ในส่วนของกระพี้นั้น ของเหลวสามารถซึมผ่านได้ สิ่งนี้ทำให้ไม้แอชเหมาะมากสำหรับการแปรรูปโดยใช้ความร้อนตามที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ได้ทั่วไปสำหรับพื้นระเบียง วัสดุหุ้ม พื้นผิวส่วนบนของเครื่องเรือน เเละเครื่องเรือนตกเเต่งสวน
ไม้ที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืนนี้มาจากป่าธรรมชาติของทวีปอเมริกาเหนือที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เป็นที่นิยมในหมู่นักออกแบบ สถาปนิก ผู้ใช้เฉพาะทางและผู้ใช้งานทั่วโลก การใช้งานหลักคือใช้ทำเครื่องเรือน พื้น ประตู สถาปัตยกรรมด้านงานไม้โดยเฉพาะกรอบประตูหรือหน้าต่างเเละการหล่อตู้ต่าง ๆ ในห้องครัว เครื่องมือเเละมือจับสำหรับใช้ในอุปกรณ์กีฬา
ต้นแอสเพนอเมริกันเจริญเติบโตในพื้นที่ที่ทึบ ซึ่งเป็นไม้ยั่งยืน เเต่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์น้อยกว่าไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา ลำต้นสามารถเจริญเติบโตได้ถึง 120 ฟุต (48 เมตร) เเละมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 4 ฟุต (1.2 เมตร) เนื่องจากความแปรปรวนทางพันธุกรรม ลำต้นอาจเป็นทรงกระบอกเรียวเล็กเเละมีกิ่งก้านที่เล็กมาก หรือคดเคี้ยวและบิดเบี้ยว ไม้เเอสเพนเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับประโยชน์มาจากการตัดเพื่อสืบต่อพันธุ์ ซึ่งทนต่อแสงเงาและงอกใหม่ทั้งจากต้นกล้าและรากหน่อ ซึ่งเป็นสายพันธุ์บุกเบิกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหลังจากเกิดไฟป่า สี่รัฐหลัก ๆ ที่ผลิตไม้แอสเพน ได้เเก่ มินนิโซตา วิสคอนซิน เมน เเละมิชิแกน
ข้อมูลการวิเคราะห์และสำรวจทรัพยากรป่าไม้ (FIA) เเสดงให้เห็นว่าไม้แอสเพนในสหรัฐอเมริกา เติบโตเป็นจำนวน 637 ล้าน ม3 หรือ 4.3% ของจำนวนไม้เนื้อเเข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ไม้แอสเพนอเมริกันมีการเติบโต 10.4 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 8.9 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 1.5 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี
ไม้แอสเพนในสหรัฐอเมริกา จะมาในรูปแบบไม้เลื่อยแปรรูปและแบบแผ่นไม้อัด ไม้แปรรูปมีเเนวโน้มว่าจะมีขนาดเล็กลง 4/4" (1" หรือ 25.4 มม.) เเละ 5/4" (1.25" หรือ 32 มม.) เเม้ว่าขนาดที่จำกัดจะอยู่ที่ 6/4" (38 มม.) เเละ 8/4" 52 มม. อาจหาได้จากผู้ผลิตบางราย
กระพี้ของไม้แอสเพนมีสีขาวเเละเเก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างทั้งสอง ไม้แอสเพน มีพื้นผิวละเอียดแบบเดียวกันเเละลายเนื้อไม้ที่เป็นเส้นตรง
ไม้แอสเพนมีความหนาเเน่นต่ำเเละตัวไม้มีความเบาเเละอ่อน ไม้แอสเพนมีการจำเเนกการดัดที่ต่ำมากเพราะความเเข็งและความตรงแต่มีความต้านทานต่อการกระแทกปานกลาง
ไม้เนื้อแข็งที่เติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งพบได้ทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ใช้สำหรับชิ้นส่วนเครื่องเรือนโดยเฉพาะการทำลิ้นชัก อีกทั้งยังมีการใช้งานอย่างหลากหลาย รวมถึงประตู งานไม้ตกเเต่งภายในโดยเฉพาะกรอบประตูเเละหน้าต่าง การหล่อ เเละกรอบรูป รวมถึงที่ผู้เชี่ยวชาญใช้สำหรับทำที่นั่งในห้องอบไอน้ำ เนื่องจากมีค่าการนำความร้อนต่ำและใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหารและตะเกียบได้ เนื่องจากไม่มีกลิ่นและรสชาติ ไม้แอสเพนยังใช้สำหรับผลิตเยื่อกระดาษด้วย
ไม้เบสวูดอเมริกันมีความสัมพันธ์ทางพฤกษศาสตร์กับต้นมะนาวที่พบในยุโรป โดยทั่วไปต้นจะสูงเเละมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ โดยทั่วไปมักมีลำต้นตรงและไม่ค่อยยเเตกกื่งก้านสาขาบ่อยมากนัก ไม้เบสวูดสามารถพบได้ทั่วสหรัฐอเมริกา ในป่าไม้เนื้อเเข็งตามธรรมชาติ
ข้อมูลการวิเคราะห์และสำรวจทรัพยากรป่าไม้ (FIA) เเสดงให้เห็นว่า ไม้เบสวูดในสหรัฐอเมริกาเติบโตเป็นจำนวน 210 ล้าน ม3 หรือ 1.4% ของจำนวนไม้เนื้อเเข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ไม้เบสวูดอเมริกัน มีการเติบโต 3.3 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 1.7 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 1.6 ล้าน ม3 ในแต่ละปี การเติบโตของไม้เบสวูดในสหรัฐอเมริกาสูงมากเกินหรือมีความสมดุลกับการเก็บเกี่ยวในทุกรัฐที่เป็นผู้ผลิตหลัก
ไม้เบสวูดในสหรัฐอเมริกามีอยู่ในปริมาณที่ค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งในรูปแบบไม้เลื่อยแปรรูปเเละแบบแผ่นไม้อัด ไม้แปรรูปมีหลายเกรดและความหนาตั้งแต่ 4/4" (25.4 มม.) จนถึง 16/4" (102 มม.) เนื่องจากง่ายต่อการทำให้แห้ง ไม้เบสวูดแปรรูปที่ใช้ประโยชน์ได้มีขนาด 9/4" (56 มม.) ซึ่งเป็นความหนาที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการผลิตบานประตูหน้าต่างและมู่ลี่
กระพี้ของไม้เบสวูดดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่เเละมีสีครีมขาว ซึ่งทำให้เเก่นไม้มีสีซีดถึงสีน้ำตาลแดง ซึ่งอาจแสดงริ้วสีเข้มซึ่งไม่ใช่รอยตำหนิเเต่อย่างใด ความเเตกต่างระหว่างกระพี้เเละเเก่นไม้นั้นน้อยมากหรือเเทบจะแยกไม่ออก ไม้ของต้นเบสวูดจะมีพื้นผิวที่ละเอียดแบบเดียวกันเเละลายสม่ำเสมอ ซึ่งไม่เเตกต่างกัน
เบสวูดเป็นไม้เนื้ออ่อนและเนื้อนิ่มแต่มีการพูดถึงว่า 'ทนทาน' โดยมีความหนาแน่นและความแข็งแรงต่ำ เบสวูดอยู่ในประเภทการดัดด้วยไอน้ำได้ไม่ดี
ไม้เนื้อแข็งลักษณะพิเศษนี้โตในป่าธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับการทำมู่ลี่และบานประตูหน้าต่างภายใน เบสวูดมีการใช้อย่างแพร่หลายสำหรับการแกะสลัก การหล่อ และเครื่องเรือน ผู้เชี่ยวชาญใช้ในการผลิตลวดลายและผลิตเครื่องดนตรีโดยเฉพาะสำหรับชิ้นส่วนเปียโน
ต้นเชอร์รี่อเมริกันเติบโตเป็นหลักในป่าไม้เนื้อแข็งต่าง ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา สายพันธุ์นี้แตกต่างจากหลายสายพันธุ์อื่น ๆ ของเชอร์รีดอกที่ปลูกทั่วโลก ต้นเชอร์รีอเมริกันเป็นพืชสายพันธุ์เดี่ยวที่มีต้นเจริญเติบโตสูงและขึ้นอย่างหนาแน่นในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา โดยจะพบเจออย่างแพร่หลายในซิลเวเนีย รัฐนิวยอร์ก รัฐเวอร์จิเนีย และรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ต้นเชอร์รีมีรอบหมุนเวียนค่อนข้างสั้นและใช้เวลาในรัฐเพนการเจริญเติบโตน้อยกว่าไม้เนื้อแข็งชนิดอื่น ๆ ทรัพยากรจำนวนมากในปัจจุบันเป็นผลมาจากความสามารถของต้นเชอร์รีที่จะเติบโตอีกครั้งตามธรรมชาติหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่า
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเจริญเติบโตของต้นเชอร์รีอยู่ที่ 423.6 ล้าน ม3 ซึ่งคิดเป็น 2.9 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการเติบโตทั้งหมดของไม้เนื้อแข็งในสหรัฐอเมริกา ต้นเชอร์รีอเมริกันจะเติบโต 10.3 ล้าน ม3/ต่อปี ขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 4.9 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 5.4 ล้าน ม3 ในแต่ละปีต้นเชอร์รีอเมริกันเติบโตและให้ผลผลิตมากเกินกว่าผลผลิตหลักทั้งหมดของรัฐ
แก่นไม้ของต้นเชอร์รีสามารถมีหลากหลายสีจากสีแดงเข้มไปจนถึงน้ำตาลแดง และทำให้เข้มขึ้นโดยต้องใช้เวลาในการรับแดด กระพี้มีสีขาวครีม แม้ว่าความแตกต่างระหว่างสีของแก่นและกระพี้นั้นจะเห็นได้ชัด แต่ก็สามารถทำให้จางลงได้โดยการอบไอน้ำ ไม้ของต้นเชอร์รีมีลักษณะละเอียดแบบเดียวกัน ตรง และมีลายเนื้อไม้ที่เห็นไม่ชัดพร้อมด้วยพื้นผิวที่เรียบเนียน แก่นไม้มีลายจุดด่างสีน้ำตาลเล็ก ๆ ตาไม้และโพรงยางเหนียวหรือริ้วลาย ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของต้นเชอร์รีแต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจะแตกต่างไปตามภูมิภาค
ต้นเชอร์รีมีความหนาแน่นปานกลางพร้อมกับคุณสมบัติที่ดีของการดัดงอ ไม้มีความแข็งแรงปานกลางและกันกระแทกได้ แต่มีความแข็งต่ำและสามารถทำให้โค้งงอด้วยไอน้ำได้ จะแข็งและมั่นคงได้เมื่อแห้ง เนื้อไม้ง่ายต่อการย้อมสีและเคลือบเงามาก ไม้ชนิดนี้มีราคาสูงในการทำเครื่องเรือนและไม้กรอบประตูหน้าต่างภายใน เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่ค่อนข้างเบา ต้นเชอร์รีอเมริกันเหมาะแค่เพียงสำหรับการทำพื้นในบริเวณที่ใช้งานน้อย เช่น ห้องนอน หรือในสถานที่ที่มีวัฒนธรรมอย่างการไม่ใส่รองเท้าเข้าบ้านแบบในเอเชีย/p>
การจัดการไม้อย่างยั่งยืนจากป่าธรรมชาติในอเมริกาเหนือที่มีใบรับรองสิ่งแวดล้อมระดับดีเยี่ยมนี้นั้น ได้แสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงความอบอุ่นของสีไม้และงานไม้ที่ละเอียดของอเมริกาเหนือ ซึ่งเหมาะสมมากสำหรับเครื่องเรือน การผลิตตู้และงานไม้กรอบประตูหน้าต่างที่หรูหรา ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายในการทำประตู ผนัง สถาปัตยกรรมไม้กรอบประตูหน้าต่าง ไม้ขึ้นรูป และตู้เก็บของในห้องครัว รวมไปถึงการทำพื้นไม้ด้วย และยังรวมไปถึงงานเฉพาะทางบางประเภท เช่น เครื่องดนตรี และการตกแต่งภายในเรือ
ต้นคอตตอนวูดอเมริกันตะวันออกนั้นโตเร็ว และสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของไม้ชนิดนี้ ได้เจริญเติบโตได้อย่างแพร่ขยายไปทั่วอเมริกา และโดยปกติไม้ชนิดนี้จะโตได้ดีในที่ที่มีน้ำ ต้นไม้นี้สามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 8 ฟุต ต้นคอตตอนวูดอาจจะหมายถึงพอปลาร์ขาว ซึ่งไม่ควรที่จะสับสนกับต้นทิวลิปวูดซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อของพอปลาร์เหลืองในสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณสุทธิของต้นคอตตอนวูดในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 236 ล้าน ม3 ซึ่งคิดเป็น 1.5% ของไม้เนื้อแข็งในสหรัฐอเมริกา ต้นคอตตอนวูดอเมริกันมีจำนวนเพิ่มขึ้น 4.3 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่จำนวนไม้ที่ตัดมาได้คือ 1.8 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากตัดไม้) เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้าน ม3 ในแต่ละปี จำนวนการตัดไม้คอตตอนวูดในสหรัฐอเมริกา จำกัดในรัฐที่เป็นกำลังผลิตหลัก ยกเว้น ในรัฐเมน (ซึ่งเป็นรัฐที่ปลูกต้นคอตตอนวูดส่วนมากในเขตพื้นที่ในเมือง) รัฐเนบราสก้า และรัฐเท็กซัส คอตตอนวูดมีจำนวนลดลงในบางพื้นที่ที่ค่อนข้างแห้งแล้งในอเมริกาเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง การรุกรานของพันธุ์ไม้ต่างถิ่นและการมีจำนวนที่เยอะเกินไป
ไม้คอตตอนวูดอเมริกันนั้นสามารถนำไปใช้ในงานไม้เลื่อยแปรรูปและแผ่นไม้อัดได้ แต่จะสามารถนำมาใช้ในจำนวนที่จำกัดด้วยจำนวนของงานเฉพาะเพื่อส่งออก ซึ่งจะพิจารณาจากความต้องการการส่งออกในขณะนั้น ไม้คอตตอนวูดแปรรูปส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ผลิตฝั่งตอนใต้ ซึ่งเป็นที่โดดเด่นในขนาด 4/4" (25.4 มม.) และ 5/4" (32 มม.) ที่จะต้องผ่านกระบวนการตัดอย่างรวดเร็วตอนที่ยังเป็นรอยตัดใหม่ (สีเขียว) เพื่อป้องกันรอยแตกในไม้และรอยช้ำ
ไม้คอตตอนวูดเป็นไม้ที่มีรูพรุนและพื้นผิวหยาบ โดยปกติแล้วลายเนื้อไม้ชนิดนี้จะเป็นแบบตรงและมีรอยผุเล็กน้อย ส่วนของกระพี้ไม้จะเป็นสีขาว แต่อาจจะมีริ้วลายสีน้ำตาลปนอยู่ ส่วนของแก่นไม้มีสีอ่อนไปจนถึงน้ำตาลอ่อน
ไม้ของต้นคอตตอนวูดมีน้ำหนักค่อนข้างเบาและนุ่ม ซึ่งไม้จะอ่อนต่อการดัดและอัด และยังทนต่อแรงกระแทกด้วย ไม้คอตตอนวูดจะไม่มีรสหรือกลิ่นตอนที่ไม้แห้ง
โดยทั่วไปแล้ว ไม้นี้ใช้เพื่อทำมูลี่ ไม้คอตตอนวูดอเมริกันใช้สำหรับเครื่องเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องเรือนที่ผลิตซ้ำและชิ้นส่วนของเครื่องเรือน บางส่วนก็ใช้สำหรับงานไม้กรอบประตูหน้าต่างและการหล่อ
ต้นเอล์มอเมริกันในตอนนี้ได้เกิดการงอกใหม่ตามธรรมชาติในบางภูมิภาค ซึ่งทำให้มีจำนวนที่ใช้ได้อยู่เป็นที่ ๆ การกระจายพันธุ์ คือการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง แต่ต้นไม้จะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสภาพพื้นที่ รูปร่างของต้นค่อนข้างเล็ก และมักจะมีลำต้นที่แยกออก
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของต้นเอล์มในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 258 ล้าน ม3 คิดเป็น 1.9% ของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งจากทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นเอล์มนั้นเติบโต 4.7 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 2.5 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 2.18 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี การขยายตัวของต้นเอล์มในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนมากกว่าการเก็บเกี่ยวในมลรัฐที่ผลิตส่วนใหญ่ ยกเว้นมลรัฐโอไฮโอ ถึงแม้ว่าต้นเอล์มอเมริกันจะสามารถทนต่อโรคต้นเอล์มดัตช์ได้ ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการเก็บเกี่ยวในบางมลรัฐ แต่ต้นเอล์มอเมริกันยังคงไวต่อการเกิดโรค
ต้นเอล์มจากสหรัฐมีปริมาณทางการค้าที่ค่อนข้างจำกัดและไม้เลื่อยแปรรูปจะได้รับการผลิตด้วยความหนาขนาด 4/4" (25.4 มม.) ดังนั้น ข้อจำกัดด้านผลลัพธ์และเกรดสำหรับการส่งออกอาจกลายเป็นอุปสรรคในการหาซื้อสินค้าได้ตามปกติ แผ่นไม้อัดก็อาจจะหาได้จากซัพพลายเออร์เฉพาะทาง
ไม้เอล์มที่ลายเนื้อไม้แน่นอาจมีลักษณะตรงหรือเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น รวมถึงมีพื้นผิวที่หยาบ กระพี้ซึ่งมีลักษณะตีบมีสีเท่าขุ่นไปจนถึงสีน้ำตาลอ่อน และแก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม รอยจิกกัดของนกสามารถพบได้ในไม้เอล์ม และยังได้รับการพิจารณาให้เป็นลักษณะทางธรรมชาติ มิใช่ข้อบกพร่องตามเกณฑ์การให้เกรดของ NHLA
เนื้อไม้ของต้นเอล์มมีความหนัก แข็ง และทนทานอยู่พอสมควร เนื้อไม้ของต้นเอล์มมีลักษณะแข็งพร้อมกับมีการดัดรูปและความทนต่อแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม
ต้นเอล์มอเมริกันเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากสำหรับเครื่องเรือนและการทำตู้เตียง รวมถึงยังใช้สำหรับงานไม้กรอบประตูหน้าต่างภายใน วัสดุทำพื้น และไม้บุฝาผนัง
ต้นยางเหนียวอเมริกันมีขนาดใหญ่และมีลำต้นตรงที่เติบโตอย่างกว้างขวางในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มีต้นอื่น ๆ อีกหลายต้นที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เป็นต้นยางเหนียวที่เติบโตในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่า ปริมาณการเติบโตของต้นยางเหนียวมีจำนวน 714.6 ล้าน ม3 นับเป็น 4.9 เปอร์เซ็นของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งในสหรัฐอเมริกา ต้นยางเหนียวอเมริกันเจริญเติบโต 22.9 ล้าน ม3/ต่อปี ขณะที่เก็บเกี่ยวได้ 11.7 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 11.2 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี ต้นยางเหนียวอเมริกาเจริญเติบโตมากเกินไปหรือไม่สมดุลกับการเก็บเกี่ยวในการผลิตหลักทั้งหมดของรัฐ
ต้นยางเหนียวอเมริกันนำไปใช้ในการทำไม้เลื่อยแปรรูปและแผ่นไม้อัดในเกรดและขนาดที่หลากหลาย โดยมักจะขายเช่นเดียวกับต้นยางเหนียวแซ้ปที่ไม่มีการจำกัดสี ภายใต้เกณฑ์การให้เกรดของ NHLA แต่ละการตัดที่ชัดเจนต้องมีหน้า (แก่นไม้) ด้านหนึ่งเป็นสีแดง เมื่อจัดประเภทของสีเรดกัม (แก่นไม้ส่วนใหญ่) หาได้ง่ายมากเกินกว่าจำนวนที่จำกัด ไม้แปรรูปมีแนวโน้มที่จะหาได้ง่ายในคลังเก็บทินเนอร์ (4/4" และ 5/4") และอาจจะจำกัดมากขึ้นในตลาดส่งออก
ไม้ยางเหนียวมีรูปแบบพื้นผิวละเอียดแบบเดียวกัน แต่มีลายเนื้อไม้ที่ไม่สม่ำเสมอ และมักจะเชื่อมต่อกันแบบธรรมดา และมักจะมีรูปทรงลายเนื้อไม้ที่น่าดึงดูด กระพี้ของต้นยางเหนียวมีแนวโน้มที่จะแผ่วงกว้างและเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีชมพูอ่อน ขณะที่แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลแดงและมักจะมีริ้วลายที่เป็นสีเข้ม
ไม้ของต้นยางเหนียวแข็งปานกลางถึงอ่อน แต่อยู่ในการจำแนกประเภทการดัดด้วยไอน้ำต่ำ ลายเนื้อไม้นั้นอยู่ชิดกัน
การใช้งานหลักคือ ใช้ทำตู้ เครื่องเรือนและชิ้นส่วนของเครื่องเรือน ประตู ไม้กรอบประตูหน้าต่างภายในและการหล่อ ไม้ยางเหนียวถูกใช้และถูกย้อมสีแทนไม้วอลนัทหรือไม้มะฮอกกานี
ต้นแฮกเบอร์รีอเมริกัน สามารถโตได้ในดินหลายประเภท ดังนั้นจึงค่อนข้างที่จะแพร่หลายไปทั่วสหรัฐอเมริกา ต้นไม้นี้ยังเติบโตได้ทั่วไปในป่าที่เกิดใหม่ซึ่งพบได้มากในรัฐตอนกลางและตอนใต้ อย่าสับสนกับมิสซิสซิปปี้แฮกเบอร์รี (C. tenuifolia) ที่เจริญเติบโตทั่วไปใกล้กับอ่าว ต้นแฮกเบอร์รีโดยทั่วไปสามารถเจริญโตเป็นต้นสูงใหญ่และตั้งตรง พร้อมกับมีกิ่งก้านเล็กน้อยได้ถึง 70 ฟุตที่สามารถทำเป็นไม้แปรรูปได้อย่างชัดเจน
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าในสหรัฐอเมริกา มีปริมาณการเติบโตต้นแฮกเบอร์รี่อยู่ที่ 138 ล้าน ม3 คิดเป็น 1.0% ของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นแฮกเบอร์รีเจริญเติบโตได้ 4.3 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 1.2 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 ล้าน ม3 ในแต่ละปี อัตราการเติบโตของต้นแฮกเบอร์รีนั้นมีจำนวนมากกว่าอัตราการเก็บเกี่ยวในรัฐใหญ่ ๆ ที่ทำการผลิต
ต้นแฮกเบอร์รีนั้นสามารถใช้งานได้ในจำนวนไม้เลื่อยแปรรูปที่จำกัดมาก ในเกรดส่งออก และโดยส่วนมากแล้วในรูปแบบของวัสดุแบบบางขึ้น (4/4"และ 5/4") และผลิตขึ้นมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาตอนใต้ แผ่นไม้อัดก็อาจจะหาได้จากซัพพลายเออร์เฉพาะทาง
ไม้ของต้นแฮกเบอร์รีนั้นมีความคล้ายกับต้นเอล์ม แต่ต่างกันด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาและไม่แข็งแรง ลายเนื้อไม้หยาบบนเนื้อไม้ที่ไม่ปกติอาจจะเป็นเส้นตรงและบางทีก็เชื่อมต่อกัน แต่มีพื้นผิวละเอียดแบบเดียวกัน มีส่วนที่แตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างกระพี้ไม้กับแก่นไม้ที่มีสีค่อนไปทางเทาอมเหลืองจนถึงน้ำตาลอ่อนโดยทั่ว
เนื้อไม้ของต้นแฮกเบอร์รีนั้นค่อนข้างแข็ง หนัก และทนทานต่อการดัดได้ดี แต่ไม่ทนต่อแรงดัน ไม้นี้มีคุณสมบัติต้านแรงกระแทก และดัดด้วยไอน้ำได้ดี แต่มีความแข็งต่ำ
ไม้แฮกเบอร์รีโดยทั่วไปมักใช้สำหรับทำเครื่องเรือน และตู้ในห้องครัว งานไม้กรอบประตูหน้าต่างตกแต่งภายในและการหล่อ และไม้นี้ก็สามารถใช้แทนไม้แอชได้
ต้นฮิกคอรี เป็นกลุ่มต้นไม้ที่สำคัญและเจริญเติบโตตามธรรมชาติในแถบฝั่งตะออกวันของสหรัฐอเมริกาจากตอนเหนือถึงตอนใต้ โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน คือ ต้นฮิกคอรี ที่มีความสำคัญกว่าและต้นฮิกคอรี ที่ออกผลเป็นถั่วพีแคน ซึ่งได้กลายมาเป็นไม้ผลที่มีความสำคัญในเวลาต่อมา ต้นไม้ชนิดนี้มีขนาดที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่า ปริมาณการเติบโตของต้นฮิกคอรี ในสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 742.3 ล้าน ม3 คิดเป็น 4.7% จากปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นฮิกคอรีอเมริกันเพิ่มขึ้น 14.6 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 5.9 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 8.6 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี การเติบโตของต้นฮิกคอรีในสหรัฐอเมริกา สูงกว่าการเก็บเกี่ยวในทุกรัฐที่ผลิต ยกเว้นรัฐลุยเซียนา
ไม้เลื่อยแปรรูปฮิกคอรีพร้อมจำหน่ายในเกรดส่งออกแบบไม่เลือกสีและแบบผสม ไม้เกรด FAS ของ NHLA มีความกว้างอย่างต่ำเท่ากับ 4 นิ้ว (101.6 มม) เนื้อไม้เกรด NHLA ที่ต่ำกว่า (คุณภาพชั้น 1 และ 2) นั้นจะมีรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและหยาบแบบทันสมัย ไม้แปรรูปส่วนใหญ่จะผลิตให้บางลง (4/4" และ 5/4) แม้ว่าจะมีวัสดุที่มีความหนาในจำนวนจำกัดก็ตาม
เนื้อไม้ของต้นฮิกคอรีนั้นมีสี ลวดลายของลายเนื้อไม้และรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มที่มีความหลากหลายนี้ มีพื้นผิวละเอียดและลายเนื้อไม้มักจะเป็นทางตรง แต่อาจจะเป็นลอนหรือขรุขระก็ได้ กระพี้จะมีสีขาวหรืออาจจะมีสีน้ำตาลปนอยู่เล็กน้อย ในขณะที่แก่นไม้มีสีซีดจากน้ำตาลออกเหลืองไปจนถึงดำ ริ้วลายแร่สีม่วงเข้มเป็นลักษณะตามธรรมชาติ รอยนกจิกก็ถือเป็นลักษณะทั่วไปและไม่ถือว่ามีตำหนิ
เนื้อไม้ของต้นฮิกคอรี ค่อนข้างจะหยาบและเปลี่ยนแปลงจากแข็งไปจนถึงแข็งน้อย แต่มีความหนักและความแน่นมาก มีแรงโค้งงอที่ดี ทนต่อแรงกระแทกและยังมีคุณสมบัติการดัดด้วยไอน้ำที่ยอดเยี่ยม
เครื่องเรือน ตูู้เก็บของ บันได เดือยเจาะและอุปกรณ์กีฬา แต่เดิมจะถูกใช้โดยช่างซ่อมล้อรถและสำหรับการผลิตไม้กลอง ด้วยคุณสมบัติที่ทนทานของไม้ฮิกคอรี ทำให้ไม้นี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานทำพื้น โดยเฉพาะอย่างยื่งในสถานการณ์ที่มีการใช้บริเวณมาก ตามประวัติศาสตร์แล้ว ก้านไม้กอล์ฟคันแรกนั้นทำจากไม้ฮิกคอรี และผู้วัดคุณภาพไม้แปรรูปของ NHLA ก็ยังใช้ไม้ฮิกคอรีเป็นไม้วัดแบบดั้งเดิมที่มีความยืดหยุ่น
ไม้เมเปิลแข็งอเมริกันเป็นต้นไม้สายพันธุ์ที่ขึ้นในภูมิอากาศเย็น ถึงแม้ว่าต้นไม้เหล่านี้จะสามารถเติบโตได้ทั่วไปในป่าไม้เนื้อแข็งแบบผสมในสหรัฐอเมริกา แต่ต้นไม้เหล่านี้ชื่นชอบมลรัฐทางตอนเหนือมากกว่า สายพันธุ์ดังกล่าวค่อนข้างแตกต่างจากต้นเมเปิลสายพันธุ์อื่น ๆ ในโลก ต้นไม้เหล่านี้มักจะเติบโตอย่างหนาแน่นบนพื้นดินหลากหลายรูปแบบ รวมถึงยังมีการปลูกเป็นฟาร์มเพื่อนำมาทำน้ำเชื่อมเมเปิลอันโด่งดังอีกด้วย การเก็บเกี่ยวต้นเมเปิลเกิดขึ้นตามฤดูกาล (ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว)
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของต้นเมเปิลแข็งจากสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 953.7 ล้าน ม3 หรือ 6.6% จากปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ต้นเมเปิลแข็งอเมริกันเติบโตขึ้นเป็น 19.1 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวคิดเป็น 10.2 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้นเป็น 8.8 ล้าน ม3 ในแต่ละปี การขยายตัวของไม้เมเปิลแข็งในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมากกว่าการเก็บเกี่ยวในทุกมลรัฐหลักที่ส่งออกสินค้า ยกเว้นมลรัฐเมน ในมลรัฐเมน การเก็บเกี่ยวต้นเมเปิลมีอัตราค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัว ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการสกัดเนื้อไม้ทำกระดาษและพลังงานชีวภาพที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ป่าไม้เนื้อแข็งที่ประกอบไปด้วยต้นเมเปิลส่วนใหญ่จะค่อย ๆ แทนที่ด้วยรูปแบบป่าไม้เนื้ออ่อน
ไม้เมเปิลแข็งเป็นไม้ที่มีลักษณะแข็งตามชื่อของไม้ และมีน้ำหนักมาก รวมถึงคุณสมบัติด้านความแข็งแรง ไม้เมเปิลแข็งเกิดรอยขีดข่วนได้ยากและมีคุณสมบัติการดัดด้วยไอน้ำได้ดี ดังนั้น ไม้เมเปิลแข็งนี้เป็นสายพันธุ์ไม้ที่ได้รับความนิยมในการนำมาทำพื้น ซึ่งได้แก่ พื้นห้องกีฬา พื้นโยนโบว์ลิ่ง และ พื้นโต๊ะ
ไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืนภายในป่าธรรมชาติแถบอเมริกาเหนือ รวมถึงมีการรับรองด้านสภาพแวดล้อมอันดีเยี่ยมได้รับการชื่มชนจากทั่วโลกในเรื่องของคุณสมบัติด้านความคงทน สีอ่อนที่มีความละเอียดลออ และการเคลือบพื้นผิวของไม้อย่างปราณีต มีลักษณะที่เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับการทำเป็นพื้นผิวทุกชนิด ประกอบด้วย พื้นที่มีการใช้งานมาก เช่น อาคารสาธารณะ เครื่องเรือน ตู้วางของ และรวมถึงไม้กรอบประตูหน้าต่างที่มีคุณภาพสูง มีการใช้ในการทำโต๊ะ พื้นโต๊ะ การหล่อ และตู้วางอุปกรณ์ครัวอย่างแพร่หลาย
ไม้เมเปิลอ่อนสายพันธุ์อเมริกาเติบโตอย่างแพร่หลายในแถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ในป่าไม้เนื้อแข็งแบบผสม โดยบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือจะมีเมเปิลแดงอยู่มากกว่า และมีเมเปิลเงินขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณมลรัฐตอนกลางและตอนใต้ ซึ่งชื่อของเมเปิลอ่อนนั้นอาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณสมบัติของไม้ได้ เนื่องจากจริง ๆ แล้ว ไม้เมเปิลอ่อนไม่ได้มีเนื้อไม้ที่อ่อนมากนัก มีไม้สายพันธุ์ย่อยอยู่ไม่น้อยที่ขายออกไปโดยใช้ชื่อของไม้เมเปิลอ่อน มีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน ประกอบด้วย แปซิฟิกโคสต์/ไม้เมเปิลใบใหญ่ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Acer macrophyllum ) เติบโตในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีกฏเฉพาะที่ใช้ให้เกรด
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของไม้เมเปิลอ่อนในสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวน 1.55 พันล้าน ม3 หรือ 11.7% ของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ไม้เมเปิลอ่อนอเมริกันโตขึ้น 36.4 ล้าน ม3/ต่อปี ขณะที่การเก็บเกี่ยวเป็น 14.8 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 21.6 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี การขยายตัวของไม้เมเปิลอ่อนในสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากกว่าการเก็บเกี่ยวในมลรัฐผลิตหลักทั้งหมด
ไม้เมเปิลอ่อนจากสหรัฐอเมริกา สามารถหาได้ในลักษณะไม้เลื่อยแปรรูปที่มีหลายขนาดและหลายเกรด แต่จะพบน้อยมากในรูปแบบแผ่นไม้อัด ไม้แปรรูปชนิดนี้โดยปกติจะขายได้โดยไม่ต้องเลือกสี ผลิตภัณฑ์จากชายฝั่งด้านตะวันตกมักจะขายแบบขัดมันและประเมินคุณภาพจากด้านที่ดีกว่า โดยไม่ได้ใช้เกณฑ์การให้เกรดจาก NHLA
ไม้เมเปิลอ่อนมีข้อดีคือโค้งงอได้ดีและทนต่อแรงบีบอัด ขณะที่ข้อเสียคือไม่มีความแข็งกระด้างและไม่ทนต่อแรงกระแทก ไม้เมเปิลอ่อนมีความแข็งน้อยกว้าไม้เมเปิลแข็งประมาณ 25% ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ทำพื้นหรือพื้นผิวส่วนบน
ไม้เนื้อแข็งที่ได้รับการจัดการและมีความยั่งยืนมากภายในป่าธรรมชาติของทวีปอเมริกาเหนือ รวมถึงมีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี ได้รับการพิจารณาว่าคุณสมบัติความแข็งและความทนทานของไม้อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญ ใช้ทำเครื่องเรือน การทำตู้และงานไม้กรอบประตูหน้าต่าง เช่น การทำตู้ เตียง กรอบประตูหน้าต่าง ตู้กับข้าว และสำหรับการกลึงและการหล่อ
ต้นโอ๊กขาวขึ้นในอเมริกาเหนือโดยเฉพาะและมีการกระจายอย่างกว้างขางตลอดทั้งภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกาบริเวณป่าไม้เนื้อแข็งแบบผสม เช่นเดียวกับต้นโอ๊กแดงที่มีหลายสายพันธุ์ย่อย ทั้งหมดจัดอยู่ในหมวดหมู่ไม้โอ๊กขาว และรวมกันเป็นกลุ่มสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดซึ่งคิดเป็นประมาณ 33% จากทรัพยากรไม้เนื้อแข็งอเมริกัน ต้นไม้เหล่านี้มีความสูง และระบุได้ง่ายจากรูปทรงใบกลมมน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูใบไม้ร่วง ต้นโอ๊กขาวยังเติบโตตั้งแต่ทางตอนเหนือไปจนถึงทางตอนใต้บางสายพันธุ์ขึ้นบนภูเขาสูงและบริเวณอื่น ๆ บนที่ราบ ซึ่งทำให้เกิดลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ต้นโอ๊กขาวจึงมีความแตกต่างที่สำคัญขึ้นอยู่กับตำแหน่งพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างต้นโอ๊กทางตอนเหนือที่เติบโตช้ากว่า และต้นโอ๊กทางตอนใต้ที่เติบโตเร็วกว่า เช่นเดียวกับต้นโอ๊กแดง ต้นโอ๊กขาวก็ได้รับการยอมรับว่ามีความยั่งยืนสำหรับการบริโภคภายในประเทศและส่งออก
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของต้นโอ๊กขาวสหรัฐอเมริกา มีจำนวน 2.26 พันล้าน ม3 คิดเป็น 15.4% จากปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ต้นโอ๊กขาวของสหรัฐอเมริกา เติบโตถึง 40.1 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 20.1 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 20.0 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี การขยายตัวของต้นโอ๊กขาวสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนมากกว่าการเก็บเกี่ยวในทุก ๆ รัฐส่งออกหลัก
ต้นโอ๊กขาวจากสหรัฐอเมริกา สามารถหาได้ในรูปของไม้เลื่อยแปรรูปและแผ่นไม้อัด โดยมีเกรดและขนาดที่หลากหลาย เนื่องจากระยะเวลาการทำให้แห้งอันยาวนาน ผู้จัดหาบางรายอาจเสนอแหล่งไม้แปรรูปแบบหนากว่า (10/4" และ 12/4") แต่มีในจำนวนจำกัด ในทางตอนเหนือ มีแนวโน้มที่ต้นกระพี้จะมีน้อยกว่าทางตอนใต้ซึ่งเป็นเพราะว่าฤดูการปลูกที่สั้นกว่า ทำให้ไม้จะเติบโตเร็วกว่า พร้อมกับมีลายเนื้อไม้และพื้นผิวที่โปร่งกว้างมากกว่า ต้นโอ๊กขาวอาจจะมีการขายตามสายพันธุ์ทางตอนเหนือ และทางตอนใต้ แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นการมองข้ามความแตกต่างของไม้โอ๊กขาวในแต่ละพื้นที่
ต้นโอ๊กขาวอเมริกันมีคุณสมบัติด้านความทนทานโดยรวมดีมากเมื่อเทียบกับน้ำหนัก ซึ่งทำให้ต้นโอ๊กขาวเหล่านี้เป็นพันธุ์ไม้เนื้อแข็งที่เป็นที่ต้องการสำหรับการใช้งานด้านโครงสร้างมากกว่า เนื้อไม้มีลักษณะเป็นไม้เนื้อแข็งและค่อนข้างหนัก มีความทนทานในการดัดงอดีและมีความทนทานในการบีบอัด แต่มีความแข็งน้อย การทดสอบด้านโครงสร้างซึ่งได้ดำเนินการในยุโรปพิสูจน์ว่าต้นโอ๊กขาวมีความทนทานของเส้นใยเฉพาะมากกว่าต้นโอ๊กยุโรป สามารถดัดด้วยไอน้ำได้ดีเยี่ยม จะมีความแข็งแรง อยู่ตัวเมื่อแห้ง และง่ายต่อการเคลือบเงา ย้อมสี รวมถึงยังเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้ทำเครื่องเรือน และงานทำพื้นโดยเฉพาะในตลาดส่งออก
To find out more about the mechanical properties of white oak read the full structural guide.
ไม้ที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืนภายในป่าธรรมชาติของอเมริกาเหนือ รวมถึงมีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เป็นสายพันธุ์หลักในตลาดส่งออกต่าง ๆ การใช้งานหลักคือ ใช้ทำเครื่องเรือน พื้น ประตู สถาปัตยกรรมงานไม้กรอบประตูหน้าต่าง การการหล่อและตู้ครัว ไม้ยังนำมาใช้ในการใช้งานบางอย่างสำหรับการก่อสร้าง ประกอบไปด้วย คานโครงสร้างเคลือบกาวและการใช้งานเฉพาะทางอื่น ๆ
ต้นพีแคนเจริญเติบโตขึ้นตามธรรมชาติในแถบฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และแถบหุบเขามิสซิสซิปปีเป็นส่วนมาก เป็นไม้ผลที่สำคัญและยังมีขนาดที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของต้นพีแคนในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 46.8 ล้าน ม3 คิดเป็น 0.3% จากปริมาณการเจริญเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นพีแคนอเมริกันเติบโตอยู่ที่ 931,000 ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 355,000 m3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 576,000 ม3 ในแต่ละปี การเติบโตของต้นพีแคนในสหรัฐอเมริกา นั้นสูงกว่าการเก็บเกี่ยวในสี่รัฐหลักที่ทำการผลิตอย่างรัฐอาร์คันซอ รัฐแคนซัส รัฐลุยเซียนาและรัฐมิสซิสซิปปี
ไม้เลื่อยแปรรูปพีแคนพร้อมจำหน่ายในเกรดส่งออกแบบไม่เลือกสีและแบบผสม ไม้เกรด FAS ของ NHLA มีความกว้างอย่างต่ำเท่ากับ 4 นิ้ว (101.6 มม) เนื้อไม้เกรด NHLA ที่ต่ำกว่า (คุณภาพชั้น 1 และ 2) นั้นจะมีรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและหยาบแบบทันสมัย ไม้แปรรูปส่วนใหญ่จะผลิตให้บางลง (4/4" และ 5/4) แม้ว่าจะมีวัสดุที่มีความหนาในจำนวนจำกัดก็ตาม
เนื้อไม้ของต้นพีแคนนั้นมีสี ลวดลายของลายเนื้อไม้และรูปร่างที่แตกต่างจากกลุ่มที่หลากหลายนี้ มีพื้นผิวที่หยาบกระด้าง และลายเนื้อไม้ส่วนใหญ่จะเป็นลายทางตรง แต่สามารถเป็นลอนหรือขรุขระก็ได้ กระพี้จะมีสีขาวหรืออาจจะมีสีน้ำตาลปนอยู่เล็กน้อย ในขณะที่แก่นไม้มีสีซีดจากน้ำตาลออกเหลืองไปจนถึงดำ ริ้วลายแร่สีม่วงเข้มเป็นลักษณะตามธรรมชาติ รอยนกจิกก็ถือเป็นลักษณะทั่วไปและไม่ถือว่ามีตำหนิ
เนื้อไม้ของต้นพีแคนถือว่ามีความแข็งแรงมาก และจัดอยู่ในหมวดหมู่ไม้ที่ดัดด้วยไอน้ำได้อย่างยอดเยี่ยมแรงบดขยี้สูง มีความแข็งแรงสูงและทนต่อแรงกระแทกสูงมาก
เครื่องเรือน ตู้ใส่ของ ขั้นบันได เครื่องมือเดือย และอุปกรณ์กีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้ฮอกกี้ เพราะมีความยืดหยุ่น
ต้นซาสซาฟราสอเมริกันเจริญเติบโตได้เล็กน้อยในทางตอนเหนือ และมีแนวโน้มที่จะโตรอบ ๆ ต้นแม่ ต้นซาสซาฟราสอเมริกากระจายอยู่ทั่วภาคตะวันออก ภาคกลาง และทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา และไกลออกไปทางตะวันตก เช่นเดียวกับตะวันออกของเท็กซัสในป่าไม้เนื้อแข็งตามธรรมชาติบนดินทุกประเภท
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการขยายตัวของไม้ซาสซาฟราสของสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวน 45 ล้าน ม3 หรือ คิดเป็น 0.3% ของจำนวนไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นซาสซาฟราสอเมริกันมีการเจริญเติบโตถึง 527,000 ม3/ต่อปี ในขณะที่การเก็บเกี่ยวเป็นจำนวน 480,000 ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังการเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 47,000 ม3 ในแต่ละปี
ไม้แปรรูปซาสซาฟราสจากสหรัฐอเมริกา แทบจะหาไม่ได้เลย และมีจำนวนจำกัดเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากผู้ผลิตในทางตอนใต้ ตรวจสอบกับผู้ผลิตถึงเกรดต่าง ๆ ของไม้ที่สามารถส่งออกได้ ไม้วีเนียร์อาจจะหาได้จากผู้ผลิตเฉพาะด้าน
แก่นไม้ของซาสซาฟราสจะมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม แต่ส่วนมากมักมีสีทอง เนื้อไม้มีความยืดหยุ่น เบา และมีสีอ่อน ลายเนื้อไม้อาจเชื่อมต่อกัน สามารถทำให้เป็นลายตรงได้ แต่ลายมักจะเป็นแบบลอน ทำให้เกิดลวดลายฟิดเดิลแบคที่สวยงาม พื้นผิวจะมีทั้งแบบหยาบ และละเอียด ลายเนื้อไม้จะมีลักษณะคล้ายกับเนื้อของต้นแอช และเหมือนลูกเกาลัด
ไม้ซาสซาฟราสเป็นไม้ที่มีความแข็งปานกลาง ทนแรงกระแทกได้แต่มีความแข็งต่ำ สามารถดัดได้ดีและนำไปเข้าเครื่องกลึงได้ง่าย
ไม้ซาสซาฟราสอเมริกันเติบโตในพื้นที่ป่าธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ส่งกลิ่นหอมต่าง ๆ เช่น ถังไม้ และเครื่องเรือน
ต้นไซคามอร์อเมริกันส่วนมากจะต้นใหญ่ เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งพันธุ์ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ มีการแผ่ขยายทั่วป่าไม้เนื้อแข็งธรรมชาติในพื้นที่ทางตะวันออกและทางตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ส่วนไม้เพลนอ เมริกาพันธุ์อื่น ๆ เติบโตในแคลิฟอร์เนียและแอริโซนาแต่ค่อนข้างไม่มีคุณค่าทางการค้าขาย
ข้อมูลจาก FIA ชี้ว่าปริมาณการเติบโตของไม้ไซคามอร์ในสหรัฐอเมริกา (ยกเว้นแคลิฟอร์เนียและแอริโซนา) คือ 144.5 ล้าน ม3 ซึ่งน้อยกว่าร้อยละ 1 ของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ต้นไซคามอร์อเมริกันมีปริมาณการเติบโตถึง 4.00 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการเก็บเกี่ยวมีเพียง 1.22 ล้าน ม3/ต่อ ปีปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 2.78 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี ปริมาณการเติบโตของไม้ไซคามอร์ในสหรัฐอเมริกา มีมากกว่าปริมาณการเก็บเกี่ยวในทุกรัฐที่ส่งออก
ไม้ไซคามอร์แปรรูปจากสหรัฐอเมริกา มีปริมาณจำกัดโดยมีกลุ่มผู้ผลิตจากทางใต้และแหล่งที่ปลูกได้ง่ายเพิ่มเติมซึ่งผลิดได้ในปริมาณที่เล็กน้อย (4/4" และ 5/4") ตรวจสอบกับผู้ผลิตถึงเกรดต่าง ๆ ของไม้ที่สามารถส่งออกได้ ไม้วีเนียร์ยังสามารถหาได้จากกลุ่มผู้ชำนาญการผลิตเช่นกัน
ไม้จากต้นไซคามอร์มีหลากหลายสี กระพี้มีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อนและแก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม ไม้ไซคามอร์มีพื้นผิวที่ละเอียดและเชื่อมต่อกัน ลายเนื้อไม้มีลักษณะเฉพาะคือ มีจุดด่าง
ไม้ไซคามอร์มีน้ำหนักปานกลาง ความแข็ง ความแน่น และความทนต่อแรงกระแทกในระดับปลานกลาง หนักและแข็งแรง สามารถงอได้ และนำไปดัดในเครื่องกลึงได้ง่าย
ไม้ไซคามอร์อเมริกาเติบโตในพื้นที่ป่าธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา นิยมนำไปแปรรูปเป็นตู้ และเครื่องเรือน นำไปใช้สำรับการหล่อ ไม้กรอบประตูหน้าต่างภายใน และโครงของแผ่นไม้อัด นำไปทำเครื่องใช้เฉพาะทาง เช่น เขียง
ต้นทิวลิปวูดเติบโตโดยเฉพาะในแถบอเมริกาเหนือและกระจายแผ่วงกว้างไปทั่วพื้นที่ ส่วนใหญ่ในทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกาในป่าไม้เนื้อแข็งผสม เป็นสายพันธุ์เดี่ยวและไม่ใช่ตระกูลพอปลาร์ (Populus) เป็นไม้ตระกูลจำปาหรือ Magnoliacae ที่ให้ไม้คุณภาพสูงกว่าไม้พอปลาร์สายพันธุ์อื่น ๆ ต้นไม้มีขนาดใหญ่และจำแนกได้ด้วยดอกไม้ที่คล้ายดอกทิวลิป ซึ่งทำให้เกิดชื่อนี้ขึ้นมา ต้นทิวลิปวูดแผ่ขยายจากทางตอนเหนือสู่ทางตอนใต้ และเป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้เนื้อแข็งที่ให้ผลยั่งยืนที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจาก FIA แสดงให้เห็นว่าปริมาณการเติบโตของต้นทิวลิปวูดในสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 1.12 พันล้าน ม3 ซึ่งนับเป็น 7.7 เปอร์เซนต์ของปริมาณการเติบโตของไม้เนื้อแข็งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ไม้ทิวลิปวูดอเมริกันมีปริมาณการเติบโตถึง 34.6 ล้าน ม3/ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการเก็บเกี่ยวเท่ากับ 12.8 ล้าน ม3/ต่อปี ปริมาณสุทธิ (หลังจากเก็บเกี่ยว) เพิ่มขึ้น 21.8 ล้าน ม3 ในเเต่ละปี การเจริญเติบโตของไม้ทิวลิปวูดในสหรัฐอเมริกา สูงกว่าการเก็บเกี่ยวในทุกรัฐ
ไม้ทิวลิปวูดจากสหรัฐอเมริกา จะมาพร้อมในรูปแบบไม้เลื่อยแปรรูปแล้วด้วยเกรดและความหนาที่แตกต่างออกไป (4/4" ไปจนถึง 16/4") เนื่องด้วยความง่ายต่อการทำให้แห้ง ความกว้างและความยาวของท่อนไม้ที่